Monday, February 23, 2009

มาคารองเรดเคอเรนท์ : Redcurrent Macarons

ส่วนผสม สำหรับมาคารง 10 คู่ (ต้นฉบับเป็นราสเบอรี่สูตร น้องแก้ม ค่ะ เรานำสูตรดีๆ ของน้องมายำเละเลย)
  • อัลมอนด์มีล 40 กรัม (เราชอบใช้อัลมอนด์สดๆ บดเองค่ะ เปลือกก็ไม่ได้ลอก ผิวกระดำกระด่างเชียว)
  • น้ำตาลไอซิ่ง 65 กรัม
  • ไข่ขาวอุณหภูมิห้อง 35 กรัม (ประมาณไข่เบอร์เอ็ม 1 ฟอง)
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • น้ำตาลทราย 10 กรัม
  • สีแดง 1-2 หยด
วิธีทำ เตรียมถาดอบ 2 ถาด ปูกระดาษไขรองไว้ให้เรียบร้อย นำถุงบีบใส่หัวบีบกลมวางไว้บนถ้วยหรือแก้วทรงสูง เตรียมไว้ให้พร้อมเลยค่ะ 

ผสมอัลมอนด์มีลกับไอซิ่งเข้าด้วยกัน แล้วนำไปบดอีกครั้งจนเนื้อละเอียดมากๆ เสร็จแล้วก็นำไปร่อนผ่านตะแกรงตาห่าง 1 ครั้งค่ะ จากนั้นก็จัดการ ตีไข่ขาวกับสีแดงและเกลือด้วยความเร็วต่ำจนเป็นฟอง แล้วจึงเปลี่ยนเป็นความเร็วสูง ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไปตีผสมจนไข่ขาวตั้งยอดอ่อนและผิวขึ้นเงาค่ะ สุดท้ายแบ่งส่วนผสมแห้งลงไปตะล่อมเบามือด้วยพายยางรวมกับไข่ขาวจนเข้ากันดี เราแบ่งใส่ 3-4 ครั้งค่ะ

เทส่วนผสมใส่ถุงบีบแล้วบีบลงบนถาดที่เตรียมไว้ให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 3 ซม. และบีบให้มาคารงห่างกันประมาณ 5 ซม. ค่ะ เมื่อบีบจนส่วนผสมหมดแล้วก็พักมาคารงไว้ประมาณ 30 - 60 นาทีจนผิวแห้งดี ทดสอบโดยการใช้ปลายนิ้วแตะและกดตรงกลางเบาๆ แล้วผิวแห้งไม่ติดมือ แบ่งเจ้าคาราเมลนัทสับที่เตรียมไว้โรยหน้าให้ครบทุกชิ้น เตรียมส่งเข้าเตาอบได้ค่ะ

อุ่นเตาอบ 140 องศาเซลเซียส วางถาดตรงชั้นกลางของเตาอบ อบไฟล่างอย่างเดียวประมาณ 10 นาที หรือจนกว่าจะสุก เมื่อขนมสุกแล้วนำออกจากเตาอบ แล้วพักขนมไว้บนถาดประมาณ 5-10 นาทีแล้วค่อยแซะขนมออกวางบนตะแกรง พักไว้ให้เย็นสนิทจึงใส่ไส้ หรือเก็บใส่กล่องปิดฝามิดชิดแล้วแช่เย็นไว้ทานได้หลายวันเลยค่ะ
ส่วนผสมไส้
  • นมสด 10 มล.
  • น้ำตาลทราย 10 กรัม
  • เนยสด 50 กรัม
  • ผล red current สดๆ ตามชอบ
ผสมนมสดกับน้ำทรายเข้าด้วยกันแล้วนำไปใส่ไมโครเวฟพอร้อน นำออกมาคนให้น้ำตาลละลายหมด แล้วพักไว้ให้เย็น จากนั้นตีเนยสดจนฟู ค่อยๆ ใส่ส่วนผสมนมลงไปตีให้เข้ากันจนหมด นำไส้ที่ได้ไปทามาคารง 1 ชิ้น วางผล red current ลงไปรอบๆ แล้วนำมาคารงอีกชิ้นมาประกบค่ะ

Sunday, February 22, 2009

พัฟแอ๊บเปิ้ล : apple puff pastry

ส่วนผสม
  • แป้งพัฟเพสทรีสำเร็จรูป 1 แพ็ค (250 กรัม)
  • แอ๊บเปิ้ลเปรี้ยว 2 ลูก
  • เนยเค็ม 20 กรัม
  • น้ำตาลทราย 25 กรัม
  • น้ำมะนาว 2 ชต.
  • อบเชยป่น 1/2 ชช.
  • ลูกเกด 40 กรัม
  • อัลมอนด์คั่วป่นหยาบ 2 ชต.
  • ไข่ไก่ฟองเล็ก 1 ฟอง ตีไว้ด้วยค่ะ
  • น้ำตาลไอซิ่ง 20 กรัม
  • น้ำมะนาวสำหรับผสมไอซิ่ง 1/2 ชต.
วิธีทำ

นำแอ๊บเปิ้ลมาปอกเปลือก ตัดแกน และหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ชามผสมกับน้ำมะนาว 2 ชต. ไว้ก่อนค่ะ จากนั้นนำหม้อตั้งไฟ ใส่เนยกับน้ำตาลทรายลงไปเคี่ยวพอละลายและน้ำตาลเริ่มเปลี่ยนสี ใส่แอ๊บเปิ้ลที่หั่นไว้ลงไปคนผสมให้ทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 5 นาที จึงปิดไฟ ยกลงจากเตา ใส่อบเชย ป่น ลูกเกด และอัลมอนด์ป่นลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็นค่ะ ระหว่างนั้นก็อุ่นเตาอบไว้ที่ 180 ซีด้วยค่ะ

เมื่อส่วนผสมแอ๊บเปิ้ลเย็นแล้วก็นำแป้งเพสทรีมาตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ได้ประมาณ 9 แผ่นเล็ก หรือใครจะตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือวงกลมยังไงก็ตามสะดวกนะคะ จากนั้นตักแอ๊บเปิ้ลใส่ลงตรงกลางแผ่นแป้ง แล้วพับขอบเข้าหากัน กดขอบแป้งให้ติดกันเล็กน้อย วางบนถาดอบที่ปูกระดาษไขไว้แล้ว ทาไข่บางๆ ด้านบนให้ทั่วค่ะ ทำซ้ำอย่างนี้กับส่่วนผสมที่เหลือจนหมด

นำเข้าอบประมาณ 20-25 นาที แล้วนำออกมาราดท็อปปิ้งไอซิ่งมะนาวทันทีค่ะ (ผสมน้ำตาลไอซิ่ง 20 กรัม + น้ำมะนาว 1/2 ชต. คนให้น้ำตาลละลาย ราดบนพัฟแอ๊บเปิ้ลตอนที่ยังร้อนๆ อยู่ค่ะ)

เค้กแอ๊บเปิ้ล : apple cake

เค้กแอ๊ปเปิ้ลนี้เราทำค่อนข้างบ่อยค่ะ ตัวเองชอบกินและคนรอบข้างก็ชอบ เห็นว่าทำง่ายๆ อร่อยด้วย ก็เลยทำบ่อยๆ ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ แอ๊ปเปิ้ลลองทำดูนะคะ

ส่วนผสม สำหรับพิมพ์ขนม 24 ซม.

  • แอ๊บเปิ้ลเปรี้ยว 5 ผล
  • มะนาว 1 ลูก ขูดผิวเก็บไว้ แล้วคั้นน้ำค่ะ
  • เนยอุณภูมิห้อง 175 กรัม
  • น้ำตาลทราย 160 กรัม
  • น้ำตาลวานิลา 1 ซอง (8 กรัม)
  • แป้งเอนกประสงค์ 350 กรัม
  • ผงฟู 2 ชช.
  • นมสด 100 มล
  • เกลือ 1/2 ชช.
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • แยมแอพริคอท 2 ชต.
  • อัลมอนด์แผ่น 20 กรัม
  • น้ำตาลไอซิ่ง 2 ชช.

วิธีทำ

เตรียมสปริงฟอร์มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 ซม. ทาเนยบางๆ ให้ทั่วพิมพ์ โรยแป้งหรือขนมปังป่นบางๆ ให้ทั่ว แล้ว เคาะพิมพ์ เบาๆ เพื่อให้เศษแป้งส่วนเกินหลุดออกค่ะ

ล้างและปอกเปลือกแอ๊บเปิ้ล ตัดแกนออก จากนั้นหั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่อ่างใบย่อมๆ เทน้ำมะนาวใส่คลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ก่อนค่ะ ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือรวมกัน ส่วนน้ำตาลทรายและน้ำตาลวานิลาก็คนให้เข้ากันค่ะ อ้อ.. ตอนนี้อุ่นเตาอบไว้ที่ 200 ซี ด้วยนะคะ

นำเนยใส่อ่างผสมและตีให้เนียน จากนั้นค่อยๆ ใส่ส่วนผสมน้ำตาลลงไป ตีไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลหมดและเนยขึ้นฟูดีค่ะ จากนั้นใส่ผิวมะนาวลงไปตี ใส่ไข่ทีละฟอง ตีไข่ให้เข้ากันดีกับเนย ใช้เวลาตีไข่แต่ละฟองอย่างน้อย 30 วินาทีค่ะ ใส่ส่วนผสมแป้งครั้งละ ประมาณ 1/3 ถ้วยนะคะ ตีพอเข้ากันแล้วใส่นมทำสลับกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วให้จบลงที่แป้งค่ะ อย่าลืมว่าตีส่วนผสมแค่พอเข้ากันเท่านั้น ไม่ควรใช้เวลาตีนานนะคะ ไม่งั้นเนื้อเค้กที่ได้จะไม่ขึ้นฟู แต่จะได้เนื้อเค้กที่ค่อนข้างแน่นน่ะค่ะ

แบ่ง 1 ใน 3 ของแป้ง ตักใส่พิมพ์แล้วเกลี่ยให้เรียบ จากนั้นแบ่งแอ๊บเปิ้ลที่หั่นเตรียมไว้มาครึ่งหนึ่ง นำมาเรียงบนแป้งให้ทั่วค่ะ เสร็จแล้วก็ตักอีก 1/3 ของส่วนผสมแป้งใส่บนแอ๊บเปิ้ล เกลี่ยแป้งกลบแอ๊บเปิ้ลให้เรียบทั่วถึงกัน แล้วก็นำแอ๊บเปิ้ลส่วนเหลือวางเรียงทับบนแป้งอีกครั้งให้ทั่วพิมพ์ ตามด้วยแป้งส่วนที่เหลือทั้งหมด แล้ววางแอ๊บเปิ้ลแต่งหน้าตามชอบอีกนิด ส่งเข้าเตาอบเลยค่ะ วางไว้ชั้นที่ 2 จากล่างของเตาอบนะคะ ใช้เวลาอบประมาณ 1 ชม. ค่ะ เช็คสุกโดยใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มลงตรงกลางเค้ก ถ้าไม่มีเศษแป้งติดมาก็แสดงว่าเค้กสุกแล้วค่ะ

พอเค้กสุกนำออกมาวางไว้บนตะแกรง ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือให้พิมพ์อุ่นพอจับได้ไม่ร้อนมากก็แซะเค้กออกจากพิมพ์ พักไว้บนตะแกรงให้เย็นอุณหภูมิห้องค่ะ พอเค้กเย็นแล้วเราก็นำแผ่นอัลมอนด์ ใส่กระทะตั้งไฟคั่วจนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วตักใส่ภาชนะพักไว้ให้เย็นค่ะ จากนั้นก็นำแยมแอพริคอทผสมน้ำนิดหน่อย ตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อยๆ จนแยมเนียนดีก็ปิดไฟค่ะ พอเค้กเย็นก็ทาแยมบนหน้า เค้กให้ทั่ว แล้วโรยอัลมอนด์ที่คั่วไว้ ตบท้ายด้วยน้ำตาลไอซิ่งโรยหน้าเค้ก แค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ

เค้กลายหินอ่อน : marble cake

ส่วนผสม
1. เนยสด 120 กรัม
2. น้ำตาลทราย (ก) 100 กรัม
3. เกลือ 1/4 ชช.
4. ไข่แดงขนาดใหญ่ 2 ฟอง
5. กลิ่นส้ม 1/2 ชช.
6. แป้งเค้ก 170 กรัม
7. นมผง 1 ชต.
8. ผงฟู 1 1/2 ชช.
9. น้ำส้มคั้น 70 กรัม
10. ไข่ขาวขนาดใหญ่ 2 ฟอง
11. น้ำตาลทราย (ข) 30 กรัม
12. ผงโกโก้ 10 กรัม
13. Amaretto 1 ชช.

วิธีทำ

ทาเนยบางๆ ให้ทั่วพิมพ์ โรยแป้งหรือขนมปังป่นบางๆ ให้ทั่ว แล้วเคาะพิมพ์เบาๆ เพื่อให้เศษแป้งส่วนเกินหลุดออกค่ะ อุ่นเตาอบไว้ที่ 160 องศาเซลเซียสด้วยค่ะ

ร่อนแป้งรวมนมผงและผงฟู 2 ครั้ง พักไว้ ผสมน้ำตาลทราย (ก) และเกลือรวมกันไว้ นำเนยใส่อ่างผสมตีด้วยความเร็วกลางพอเนียน ค่อยๆ ใส่น้ำตาลลงไปตีผสมจนเนยฟูเบามีสีขาวนวล แล้วใช้พายปาดขอบอ่างด้วยค่ะ

ไส่ไข่แดงทั้งสองฟองและกลิ่นส้มลงไปตีให้ เข้ากันดีกับเนย ปาดอ่างก่อนใส่แป้งลงไปตีสลับกับน้ำส้มคั้น โดยแบ่งแป้งเป็น 3 ส่วน น้ำส้ม 2 ส่วน เริ่มด้วยแป้งและจบที่แป้งนะคะ เสร็จแล้วก็ตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย (ข) จนตั้งยอดอ่อน แล้วนำมาตะล่อมให้เข้ากับส่วนผสมแป้งอย่างเบามือค่ะ

แบ่ง 2/3 ของส่วนผสมใส่พิมพ์สำหรับอบไว้ ส่วนอีก 1/3 ที่เหลือก็เติมผงโกโก้ และอามาเรตโต้ลงไป ใช้พายผสมให้เข้ากัน แล้วตักใส่บนส่วนผสมสีขาว ใช้ปลายตะเกียบวนให้เป็นลาย นำเข้าอบ 160ซี ประมาณ 50-60 นาทีค่ะ เช็คสุกโดยใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มลงตรงกลางเค้ก ถ้าไม่มีเศษแป้งติดมาก็แสดงว่าเค้กสุกแล้วค่ะ

พอเค้กสุกนำออกมาวางไว้บนตะแกรง ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หรือให้พิมพ์อุ่นพอจับได้ไม่ร้อนมาก ก็แซะเค้กออกจากพิมพ์ พักไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิทค่ะ

จากนั้นใครจะตัดทานเลยก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีนำเค้กเข้าตู้เย็นสัก 2 ชม. แล้วค่อยตัดทาน ก็จะตัดได้เรียบสวยและรสชาติดียิ่งขึ้นค่ะ

ใครอยากเพิ่มความเข้มข้นของรสช็อคโกแล็ตและไขมันบนห่วงยางเมื่อเค้กเย็นสนิทแล้วก็ทำกานาชราดเค้กอีกก็ได้นะคะ

คุ๊กกี้กาแฟ : coffee cookies


ส่วนผสม สำหรับคุ๊กกี้ประมาณ 40-45 ชิ้น
1. เนยสด 50 กรัม
2. เนยขาว 30 กรัม
3. ไข่ 1 ฟอง
4. แป้งเอนกประสงค์ 125 กรัม
5. น้ำตาลป่น 60 กรัม
6. กาแฟสำเร็จรูป 1 ชต.
7. กลิ่นกาแฟ 1/4 ชช.
8. เกลือ 1 หยิบมือ
9. เบกกิ้งโซดา 1/4 ชช.
10. อัลมอนด์หรือเฮซัลนัทสำหรับแต่งหน้า

วิธีทำ

อุ่นเตาอบไว้ที่ 170C เตรียมถาดอบ 2 ถาด ปูกระดาษไขให้เรียบร้อย ร่อนแป้ง กาแฟ เกลือ และเบคกิ้งโซดารวมกันไว้ นำเนยทั้งสองชนิดใส่อ่างผสม ตีให้เนียน แล้วค่อยๆ ใส่น้ำตาลลงไปตีจนเนยเป็นครีมฟูเบา ใส่ไข่และกลิ่นกาแฟลงไปตีให้เข้ากับเนยดี แล้วใส่แป้ง ตีแป๊บเดียวแค่พอเข้ากันค่ะ

ตักส่วนผสมใส่กระบอกคุ๊กกี้กดลงบนถาดที่ปูกระดาษไขไว้แล้ว กดทำรูปร่างต่างๆ ตามชอบ โดยเว้นระยะห่างในแต่ละชิ้นประมาณ
1 นิ้ว แล้วแต่งหน้าด้วยอัลมอนด์หรือเฮซัลนัท นำเข้าอบลมร้อนประมาณ 15 นาที สุกแล้วนำออกจากเตา แซะคุ๊กกี้วางบนตะแกรง พักให้เย็นสนิทก็เก็บใส่โหลที่มีฝาปิดมิดชิดค่ะ


Saturday, February 21, 2009

Pineapple upside down


ส่วนผสม สำหรับพิมพ์กลมขนาด 9 นิ้ว หรือจะใส่ถาดมัฟฟินเหมือนเราก็ได้ค่ะ เล็กๆ น่ารักน่ากินดีออกนะเราว่า
ส่วนคาราเมล
1. น้ำตาลทรายแดง 80 กรัม
2. เนยสด 25 กรัม
3. สับปะรดกระป๋อง 7 วง
4. น้ำสับปะรดประมาณ 1-2 ชต.
5. เชอรี่เชื่อม 7 ผล
6. อัลมอนด์คั่ว,บด ประมาณ 1 ชต.

วิธีทำคาราเมล
ทาเนยบางๆ ให้ทั่วพิมพ์เตรียมไว้ค่ะ จากนั้นนำเนยสดใส่หม้อตั้งไฟ พอเนยละลายใส่น้ำตาลสีรำกับน้ำสับปะรด คนจนน้ำตาลละลายหมด ยกลงจากเตา เทใส่พิมพ์ ที่เตรียมไว้ วางสับปะรดลงไปให้เต็มพิมพ์ วางเชอรี่เชื่อมในสับปะรดทุกวง สุดท้ายโรยอัลมอนด์บดบนสับปะรด ให้ทั่วทุกแผ่น เสร็จแล้วก็ไปทำตัวเค้กกันค่ะ

ส่วนผสมตัวเค้ก
1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 200 กรัม
2. แป้งเค้ก 70 กรัม
3. ไข่ไก่ 3 ฟอง
4. ผงฟู 1 1/2 ชช.
5. เบกกิ้งโซดา 1/2 ชช.
6. ซาวครีม 120 กรัม
7. เกลือ 1/2 ชช.
8. เนยอุณภูมิห้อง 120 กรัม
9. น้ำตาลทรายป่น 150 กรัม

วิธีทำ

ก่อนอื่นอุ่นเตาอบไว้เลยนะคะที่อุณหภูมิ 180C/350F จากนั้นก็จัดการร่อนแป้งทั้งสองชนิดรวมกับผงฟูและเบกกิ้งโซดา 2 ครั้ง แล้วใส่เกลือลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันดีค่ะ

ตีเนยด้วยความเร็วปานกลางจนเริ่มฟูจึงค่อยๆ ใส่น้ำตาลทีละน้อย ตีไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลหมด และเนยกลายเป็นครีมฟูเบาค่ะ จากนั้นใส่ไข่ทีละฟอง โดยก่อนจะใส่ไข่ฟองต่อไปต้องตีให้ไข่เข้ากับเนยดีซะก่อนนะคะ เราใช้เวลาตีไข่แต่ละฟองประมาณ 30 วินาทีค่ะ

ลดความเร็วต่ำสุด ใส่แป้งสลับกับซาวครีมลงไปตีผสมกับส่วนผสมเนย เราแบ่งใส่แป้ง 4 รอบ และซาวครีม 3 รอบ เริ่มและจบลงที่แป้งค่ะ ตีพอเข้ากัน ใช้เวลาไม่นานนะคะไม่งั้นเค้กจะเหนียวแน่น ไม่นุ่มฟูค่ะ สุดท้ายก็เทส่วนผสมลงในพิมพ์ เกลี่ยให้เรียบแล้วส่งเข้าเตาอบเลยค่ะ วางพิมพ์ไว้ชั้นสองจากล่างของเตาอบนะคะ ใช้เวลาอบประมาณ 40-45 นาที หรือจนเค้กสุกค่ะ เช็คสุกโดยใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มตรงกลางเค้ก หากไม่มีเศษแป้งติดไม้มาแสดงว่าสุกแล้วค่ะ นำเค้กออกมาวางบนตะแกรงพอให้พิมพ์อุ่นหน่อยก็จับคว่ำบนจานเสิร์ฟ เคาะก้นพิมพ์เล็กน้อยเค้กก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายดายค่ะ วันนี้เราใช้เวลาอบ 40 นาทีค่ะ


ชีสเค้กมะม่วง : mango cheesecake

ชีสเค้กนี้เราทำใส่พิมพ์มัฟฟินที่ทำจากซิลิโคน ได้ทั้งหมด 6 อันนะคะ ชอบที่มันอันเล็ก ๆ น่ารักดีค่ะ สะดวกเวลาทานด้วย เอาออกจากพิมพ์ก็ง่ายมากๆ เลยค่ะ ถ้าใครไม่มีพิมพ์ซิลิโคนก็ทำใส่สปริงฟอร์มขนาด 7 นิ้วได้นะคะ มาดูส่วนผสมกันเลยค่ะ

ส่วนผสมฐานชีสเค้ก
1. แครกเกอร์ หรือ Zwieback บดละเอียด 1/2 ถ้วย
2. น้ำตาลทรายแดง 1/2 ชต.
3. เนยสดละลาย 1 1/2 ชต.
4. เกลือป่น 1 หยิบมือ

วิธีทำ

แค่นำทุกอย่างมาผสมรวมกัน ใช้ไม้พายคนให้เข้ากันจนร่วนเป็นเม็ดทราย แล้วนำไปเทใส่พิมพ์ (ถ้าเป็นสปริงฟอร์มก็ทาเนยบางๆ ให้ทั่วพิมพ์แล้วโรยขนมปังป่นหรือแป้งบางๆ ให้ทั่วพิมพ์ด้วยนะคะ) เกลี่ยให้เสมอกันแล้วกดให้เรียบแน่นทั่วฐานพิมพ์ค่ะ จากนั้นเอาไปใส่ตู้เย็นไว้ก่อนนะคะ

ส่วนผสมชีสเค้ก
1. ครีมชีส 300 กรัม
2. ไข่ไก่ 1 ฟอง
3. น้ำตาลทราย 60 กรัม
4. โยเกิร์ตธรรมชาติ 2 ชต.
5. กลิ่นวานิลา 1/4 ชช.
6. เฮฟวี่ครีม 150 มล.
7. น้ำมันพืช 1 ชต.
8. ผงพุดดิ้ง (รสวานิลา) 18 กรัม (ถ้าไม่มีใช้แป้งเค้ก 2 ชต. ค่ะ)

ส่วนผสมซอสมะม่วง
1. มะม่วงสุก บดละเอียดแล้วคั้นเอากากออก 100 กรัม
3. น้ำตาลทราย 10 กรัม หรือมากน้อยตามชอบค่ะ
4. น้ำมะนาว 1 ชช.
5. ผงเจลลี่ (Tortenguß, klar) 3 กรัม

วิธีทำ

ผสมมะม่วงสุกที่คั้นเอากากออกแล้วกับน้ำตาลทรายและน้ำมะนาวคนให้เข้ากัน ชิมรสหวานเปรี้ยวมากน้อยตามชอบ จากนั้นใส่ผงเจลลี่ลงไปคน ให้ละลาย นำขึ้นตั้งไฟคนตลอดเวลาพอร้อนก็ปิดไฟ พักไว้ก่อนค่ะ

วิธีทำ

อุ่นเตาอบ 175 องศาเซลเซียส ตีครีมชีสให้เนียนด้วยความเร็วปานกลางค่ะ เมื่อครีมชีสเนียนดีแล้วก็่ค่อยๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไปตีจนน้ำตาลหมด แล้วจึงใส่ไข่ลงไปตีให้เข้ากัน ใส่โยเกิร์ต กลิ่นวานิลา เฮฟวี่ครีม น้ำมันพืช และผงพุดดิ้ง (หรือแป้งเค้ก) ลงไป ใช้ความเร็วต่ำสุดตีแป๊บเดียวแค่พอเข้ากัน (ใครจะใช้ตะกร้อมือ คนให้เข้ากันก็ได้นะคะ) แล้วจึงเทใส่พิมพ์ที่กรุฐานไว้เรียบร้อยค่ะ

ตักซอสมะม่วงหยอดบนเค้กเป็นหย่อม ๆ แล้วใช้ไม้จิ้มฟันหรือไม้ปลายแหลมคนให้เป็นลายตามชอบ นำเข้าอบไฟบน - ล่าง โดย วางไว้ตรงชั้นกลางของเตาอบนะคะ ใช้เวลาอบประมาณ 30-35 นาทีค่ะ (สำหรับสปริงฟอร์มใช้เวลาอบประมาณ 45-50 นาทีค่ะ)

พอสุกนำเค้กออกมาวางบนตะแกรงให้เย็นอุณหภูมิห้องแล้วค่อยเอาเค้กออกจากพิมพ์นะคะ จากนั้นเราก็ไปทำเจลลี่ราดหน้าเค้ก ซึ่งขั้นตอนนี้ จริงๆ จะไม่ทำก็ได้ แต่ทำก็ดีเพื่อความเงางามค่ะ ส่วนผสมนะคะ

ส่วนผสมเจลลี่
1. ผงเจลลี่ 1/2 ซอง (6 กรัม)
2. น้ำเย็น 125 ลิตร
3. น้ำตาลวานิลา 1/2 ชต.

วิธีทำ

นำผงเจลลี่มาเทใส่หม้อ ใส่น้ำเย็น และน้ำตาลวานิลาลงไปผสม คนจนผงเจลลี่ละลายหมด แล้วนำตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน คนตลอดเวลาจนเดือด ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็นตัวลงประมาณ 1 นาทีก่อน แล้วจึงใช้ตะกร้อมือคนแรงๆ อีกครั้ง ก่อนนำมาราดหน้าเค้ก จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นอุณหภูมิห้องก็เอาเข้าตู้เย็นสัก 2 ชม. ก่อนทานจะอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ


ขนมปังนุ่มๆ : soft bread


เป็นขนมปังที่เนื้อนิ่ม อร่อยมากๆ เลยค่ะ สูตรเดิมเป็นของคุณหญิงกาน แต่เราลองปรับเปลี่ยนนิดหน่อย ตามวัตถุดิบที่มีน่ะค่ะ

ส่วนผสม
1. แป้งเอนกประสงค์ 2 2/3 ถ้วย
2. แป้งเค้ก 1/4 ถ้วย
3. ยีสต์ 1 ชต.
4. ไข่ 1 ฟอง
5. นมผง 2 ชต.
6. วิตามินซีบด 1 ชช.
7. น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
8. เกลือ 3/4 ชช.
9. น้ำอุ่น 2/3 ถ้วย
10. เนย 40 กรัม

วิธีทำ

แบ่งน้ำอุ่นมา 1/4 ถ้วย ใส่น้ำตาล 1/2 ชช. กับยีสต์ลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้ให้ยีสต์ขึ้นค่ะ ผสมแป้งสองชนิดเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งแป้ง 1 1/2 ถ้วย เทใส่อ่างผสม เติมไข่ น้ำอุ่น วิตามินซีบด นมผง น้ำตาลทรายและยีสต์ ที่หมักจนขึ้นแล้วลงไปค่ะ ใช้พายคนส่วนผสมให้เข้ากันแล้วเอาพักไว้ในที่อุ่นประมาณ 15 นาทีเพื่อให้ยีสต์ทำงานค่ะ

เมื่อครบเวลาแล้ว ก็จัดการใส่เนยและเกลือลงไปผสม นวดแป้งจนเนียน แป้งไม่ติดมือแล้วก็ทำเป็นก้อนกลม คลุมผ้าพักไว้ในที่อุ่นจนแป้งขึ้นเป็นเท่าตัวค่ะ ใช้เวลาพักแป้งประมาณ 45-60 นาทีค่ะ

เมื่อแป้งได้ที่แล้วก็นำมานวดคลึงไล่ลมสักพัก ก็จัดการตัดแป้งก้อนละ 30 กรัมค่ะ คลึงแป้งให้เป็นก้อนกลม วางเรียงลำดับก่อนหลัง บนถาดที่ปูกระดาษไขไว้ค่ะ เอาพลาสติกใสคลุมแป้งกันลมด้วยนะคะ

นำแป้งมาทำรูปร่างและใส่ไส้ตามชอบค่ะ ใส่ไส้แล้วนำวางเรียงบนถาดและคลุมพลาสติก พักแป้งให้ขึ้นเกือบเท่าตัวอีกรอบ แล้วนำ เข้าอบ 180C/350F ประมาณ 12-15 นาทีค่ะ เมื่อขนมสีสุกสีสวยได้ที่ก็นำออกมาทาเนยทันทีเพื่อที่ผิวขนมจะไม่แห้งและดูเงางามค่ะ

รูปบนเป็นขนมปังเนยสดนุ่มๆ หอมเนยสุดๆ ส่วนรูปล่างเป็นขนมปังแฮมชีสค่ะ อันนี้ก็อร่อยไม่แพ้กันค่ะ


เค้กลูกแพร์ : pear cake


เราทำเค้กลูกแพร์เพราะเพื่อนร่วมงานสามีเค้าเก็บลูกแพร์จากสวนของเค้ามาให้เยอะแยะเลย ก็คุณสามีตัวดีน่ะค่ะที่บอก เค้าว่าเราชอบ แหม..นิด ๆ หน่อย ๆ ก็กินไหวนะคะ แต่นี่ตั้งเกือบ 3 กก. กินคนเดียวด้วย วันนี้มันเริ่มนิ่ม ๆ (เราไม่ชอบกินลูกแพร์ที่สุกนิ่มแล้วน่ะค่ะ ชอบตอนที่ห่าม ๆ ใกล้สุก กรอบ ๆ อร่อยมาก) ไม่อยากทิ้ง ก็เลยตัดสินใจจับมาทำเค้กเลยค่ะ เค้กออกมาอร่อยดีเหมือนกันค่ะ เสร็จแล้วก็ให้สามีแบกไปตอบแทนเจ้าของลูกแพร์ซะหน่อยค่ะ มาดูสูตรกันเลยนะคะ

ส่วนผสม สำหรับสปริงฟอร์มขนาด 24 ซม. นะคะ
1. ลูกแพร์สุก 6-7 ผล
2. ผิวมะนาวขูด 1 ลูก
3. เนยสด 175 กรัม
4. น้ำตาลทราย 165 กรัม
5. น้ำตาลวานิลา 1 ซอง
6. ไข่ 3 ฟอง
7. แป้งเอนกประสงค์ 350 กรัม
8. นมสด 100 มล.
9. ผงฟู 2 ชช.
10. แยมแอพริคอท 2 ชต.
12. เกลือ 1/4 ชช.
13. แผ่นอัลมอนด์ 20 กรัม
14. น้ำตาลไอซิ่ง 2 ชช.
15. กระดาษไข

วิธีทำ เตรียมส่วนผสมครบแล้วเรามาลงมือกันเลยค่ะ

เตรียมสปริงฟอร์มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 24 ซม. ทาเนยให้ทั่วพิมพ์ พร้อมตัดกระดาษไขรองฐานไว้ด้วยค่ะ จากนั้นก็ล้างลูกแพร์ให้สะอาด ปอกเปลือกและตัดแกนออก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่ชามพักไว้ก่อนค่ะ แป้งกับผงฟูร่อนรวมกันไว้ น้ำตาลทราย น้ำตาลวานิลา และเกลือก็ผสมกันไว้ค่ะ

นำเนยใส่อ่างผสมและตีให้เนียน จากนั้นค่อยๆ ใส่ส่วนผสมน้ำตาลลงไปตีไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลหมดและเนยขึ้นฟูดี จากนั้นใส่ผิวมะนาวลงไปตี ใส่ไข่ทีละฟอง โดยใช้เวลาตีไข่แต่ละฟองประมาณ 1 นาทีค่ะ

ใส่ส่วนผสมแป้งทีละประมาณ 1/3 ถ้วยนะคะ ตีพอเข้ากันแล้วใส่นมทำสลับกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วให้จบลงที่แป้งนะคะ (ตอนนี้อุ่นเตาอบไว้เลยนะคะ ใช้ไฟ 190C ค่ะ)

แบ่งส่วนผสมออกเป็น 3 ส่วน ใส่ส่วนที่ 1 มาใส่ในพิมพ์แล้วเกลี่ยให้เรียบ จากนั้นแบ่งลูกแพร์มาครึ่งนึง เอามาเรียงบนส่วนผสมให้ทั่วพิมพ์ค่ะ เสร็จแล้วก็ใส่แป้งส่วนที่ 2 ลงไป เกลี่ยให้เรียบอีกที แล้ววางลูกแพร์อีกครึ่งนึงที่เหลือให้ทั่ว จัดเรียงให้สวยงาม เรียบร้อยแล้วใส่ส่วนผสมแป้งที่เหลือทั้งหมด เกลี่ยให้ทั่วแล้ววางลูกแพร์แต่งหน้าอีกนิด ส่งเข้าเตาอบเลยค่ะ วางไว้ชั้นที่ 2 จากล่างของเตาอบ โดยใช้เวลาอบประมาณ 55-60 นาทีค่ะ เช็คสุกโดยใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มลงตรงกลางเค้ก ถ้าไม่มีเศษแป้งติดมาก็แสดงว่าสุกแล้วค่ะ

พอเค้กสุกนำออกมาวางไว้บนตะแกรงทิ้งไว้พออุ่นหน่อยก็ถอดสปริงฟอร์มออก พักไว้ให้เย็นอุณหภูมิห้อง ระหว่างรอเค้กเย็นเราก็นำอัลมอนด์ใส่กระทะตั้งไฟคั่วจนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วตักใส่ภาชนะพักไว้ให้เย็นค่ะ

จากนั้นก็นำแยมแอพริคอทผสมน้ำหน่อยนึง ตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อยๆ จนเนื้อแยมเนียนดีก็ปิดไฟค่ะ พอเค้กเย็นก็ทาแยมบนหน้าเค้กให้ทั่ว สุดท้ายวางอัลมอนด์ ตบท้ายด้วยการโรยน้ำตาลไอซิ่งให้ทั่ว แค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ


Friday, February 20, 2009

โดรายากิ : dorayaki


เราได้สูตรขนมโดรายากิหรือแป้งทอด ขนมสุดโปรดของโดราเอมอนจากคาโอริน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ชาวญี่ปุ่นของเราค่ะ เพื่อนให้สูตรมาหลายเดือนแล้ว แต่เราเพิ่งได้ลงมือทำ ออกมาอร่อยถูกใจมากๆ เลยค่ะ เราแอบเปลี่ยนแปลงส่วนผสมจากต้นฉบับนิดหน่อยด้วย คือลดเบกกิ้งโซดาจาก 2 กรัม (ประมาณ 1 ชช.) เหลือ 1 กรัม (ประมาณ 1/2 ชช.) ส่วนผสมไส้ถั่วแดงก็เพิ่มหัวกะทิไปเพื่อให้หวานมันกลมกล่อมขึ้นอีกนิด ไส้ครีมเราก็ใช้ แป้งเอนกประสงค์ฯ แทนแป้งข้าวโพดค่ะ แล้วก็ใส่นม 50 มล. กะทิ 50 มล. เป็นความชอบส่วนตัวนะคะ A thousand thanks to my dear friend, Kaorin for this wonderful recipe :*


ส่วนผสม สำหรับโดรายากิ 10-12 คู่

  • ไข่ไก่ 4 ฟอง
  • แป้งเอนกประสงค์ 150 กรัม
  • แป้งเค้ก 50 กรัม
  • น้ำตาลทราย 150 กรัม
  • น้ำผึ้ง 25 กรัม
  • เบกกิ้งโซดา 2 กรัม
  • น้ำ ก. 3 ชต.
  • น้ำ ข. 1/3 ถ้วย

หมายเหตุ วันนี้ลองทำอีกรอบ เบกกิ้งโซดาหมดเราเลยใช้ผงฟูแทน รู้สึกว่าตอนกลับโดรายากิจะทำได้ง่ายกว่า ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่านะคะ ยังไงใครไม่มีเบกกิ้งโซดาก็ใช้ผงฟูในปริมาณเท่ากันแทนได้ค่ะ แต่ไม่ต้องละลายกับน้ำ ร่อนผงฟูรวมกับแป้งได้เลยค่ะ

วิธีทำ

ใส่เบกกิ้งโซดาลงใน "น้ำ ก." คนให้เข้ากัน พักไว้ก่อน แป้งทั้งสองชนิดร่อนรวมกันไว้ด้วยค่ะ

ตอกไข่ใส่อ่างผสม แล้วนำชามอ่างอีกใบที่เล็กกว่าใส่น้ำร้อน 1/4 ของชามมารองก้นอ่างใบใหญ่ ตีไข่ด้วยความเร็วต่ำจนไข่ฟูดี แล้วเปลี่ยนเป็นความเร็วสูงสุด ค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายลงไป ตีไปเรื่อยๆ จนน้ำตาลหมด และไข่มีลักษณะสีขาวนวลและข้นมากๆ

จากนั้นใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ใส่เบกกิ้งโซดาที่ละลายไว้ คนให้เข้ากัน แล้วจึงร่อนแป้งใส่อ่างไข่ ตะล่อมให้เข้ากันจนไม่เหลือแป้งเป็นเม็ดๆ สุดท้ายใส่ "น้ำ ข." ลงไปตะล่อมจนเข้ากัน แล้วนำอ่างแป้งใส่ตู้เย็นไว้ 30 นาทีก่อนทอดค่ะ

เมื่อได้เวลาทอด นำแป้งออกจากตู้เย็น นำกระทะเทฟล่อนตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน ทาน้ำมันพืชบางๆ พอกระทะร้อน ก็ตักแป้งหยอดให้เป็นวงกลม พอเห็นว่าแป้งมีฟองอากาศผุดขึ้นมา ก็ใช้ไม้ปลายแหลมแซะดูว่าสีสวยรึยัง เมื่อเห็นเป็นสีเหลืองทองก็กลับแป้ง ทอดอีกด้านให้สีสวยเหมือนกัน ตักขึ้นแล้วใส่ไส้ ทอดอีกแผ่นแล้วนำมาประกบกัน หุ้มด้วยพลาสติกใสพักไว้ให้เย็นก็เรียบร้อยค่ะ


ส่วนผสมไส้ถั่วแดง เราใช้ถั่วแดงกระป๋องค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาต้ม สะดวกรวดเร็วดี
  • ถั่วแดงกระป๋อง 120 กรัม
  • น้ำตาลทราย 55 กรัม
  • หัวกะทิข้นๆ 1-2 ชต.

นำถั่วแดงไปบดให้ละเอียด แล้วใส่น้ำตาลทรายและหัวกะทิลงไป นำขึ้นตั้งไฟ กวนจนข้น พักไว้ให้เย็นค่ะ

ส่วนผสมไส้ครีม

  • ไข่แดงขนาดใหญ่ 1 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 35 กรัม
  • นมไขมันเต็ม 100 มล.
  • แป้งเอนกประสงค์ 1 ชต.โปร่งๆ หรือแป้งข้าวโพด 1 ชต.เต็มๆ
  • เนยสด 15 กรัม
  • วานิลลาเอ๊กซ์แทร็ค 1/4 ชช.

วิธีทำก็แค่ผสมทุกอย่างยกเว้นเนยสดรวมกันในหม้อ ใช้ตะกร้อมือตีให้เข้ากัน จนแป้งกับน้ำตาลละลายหมดไม่เหลือเป็นเม็ดๆ กรองแล้วนำขึ้นตั้ง ไฟอ่อน คนตลอดเวลาจนส่วนผสมข้นเป็นครีมก็ปิดไฟ ใส่เนยและกลิ่นวานิลลา คนจนเนยละลายหมดก็เรียบร้อยค่ะ

มีแอบทำแบบวงรีเลียนแบบ คุณปูเปี้ยว ค่ะ สะดวกดีเหมือนกันเพราะทอดแค่แผ่นเดียว เสร็จแล้วก็ใส่ไส้ตรงกลาง (เราใส่ไส้ตู้มๆ มันก็เลยไหล ทะลักออกมาเชียว) แล้วก็พับเข้าหากัน แค่นี้เองค่ะ บิให้ดูเนื้อขนมนิดนึงตามธรรมเนียม นุ่มอร่อยไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ

ขนมไข่นกกระทา : deep fried potato balls

จำได้ว่าสมัยเรียน ม.ต้น เราชอบกินขนมไข่นกกระทามาก ถึงเวลาพักเที่ยงทีไรแม่ค้าไข่นกกระทาต้องเห็นหน้าเราทุกวัน หากวันไหนป่วยไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วไม่ได้ไปซื้อกิน แม่ค้าก็จะถามเพื่อนว่าวันนี้เราไม่มาโรงเรียนเหรอ ไม่เห็นมาซื่อขนมเลย ฮ่าๆ หลังจากเรียนจบ ม.3 ก็ย้ายโรงเรียน ตั้งแต่นั้นก็แทบไม่ได้กินขนมนี้อีกเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน อยู่ๆ ก็ไม่อยากกินซะเฉยๆ อย่างนั้นแหละ แต่วันนี้มานั่งนึก ถึงความหลังแล้วเกิดอยากกินขึ้นมาอีกก็เลยวิ่งเข้าครัวจนได้กินสมใจอีกครั้ง ค่ะ อร่อยมากๆ เลย

ส่วนผสม สำหรับรับประทาน 4-5 คน
  • มันเทศนึ่งสุกแล้วบดละเอียด 200 กรัม (ใครอยู่ไกลบ้านหามันเทศไม่ได้ก็ใช้มันฝรั่งแทนได้ค่ะ แต่ต้องใช้ชนิดเนื้อร่วนซุยนะคะ)
  • แป้งมัน 40 กรัม
  • แป้งอเนกประสงค์ 80 กรัม
  • ผงฟู 1/2 ชช.
  • น้ำตาลทราย 100 กรัม
  • เกลือป่น 3/4 ชช.
  • หัวกะทิ 50 มล.
  • น้ำมันพืชสำหรับทอด
วิธีทำ
  • ร่อนแป้งมัน แป้งอเนกประสงค์ และผงฟูรวมกัน 2 ครั้ง แล้วนำมันเทศที่บดไว้แล้วเทใส่อ่างผสม ใส่น้ำตาลทรายและเกลือตามไปนวดจนเข้ากัน แล้วเทแป้งใส่นวดรวมกันจนเนียน จากนั้นจึงค่อยๆ เทหัวกะทิใส่ทีละน้อย นวดจนแป้งเนียนมือและเข้ากันดีค่ะ 
  • หาถาดมาหนึ่งใบ โรยแป้งนวลบางๆ ให้ทั่วถาด แล้วนำแป้งที่นวดไว้แล้วมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. แล้ว วางบนถาด เมื่อปั้นเสร็จแล้วก็จัดการทอดได้ค่ะ (หรือใครจะปั้นไปทอดไปก็ตามสะดวกนะคะ) 
  • เมื่อได้เวลาทอดก็เทน้ำมันพืชใส่หม้อหรือกระทะตั้งไฟกลาง (อุณหภูมิประมาณ 170 องศาเซลเซียสค่ะ) ใช้น้ำมันเยอะนิดนึงนะคะ เมื่อ น้ำมันร้อนก็นำแป้งที่ปั้นไว้ลงทอดจนมีสีเหลืองทอง ตอนทอดแรก ๆ ต้องสังเกตเรื่องความร้อนของน้ำมันนิดนึงนะคะ ถ้าใช้ไฟอ่อนไปขนมที่ได้ก็จะแข็ง ถ้าไฟแรงเกินไปสีจะเข้มเร็วเกินไปและข้างในไม่สุก เวลาและอุณภูมิในการทอดเนี่ยจะพอๆ กับตอนที่เราทอดโดนัทน่ะค่ะ เมื่อทอดสุกแล้วก็ตักขึ้นวางบนกระดาษเพื่อซับน้ำมันค่ะ
และนี่คือตัวเอย่างของขนมที่ทอดเสร็จแล้วค่ะ รูปแรกทอดเสร็จตักขึ้นวางบนกระดาษซับมัน รูปสองเนี่ยบีบให้ดูว่าถ้าทอดด้วยอุณภูมิที่ เหมาะสมขนมที่ได้ก็จะกรอบนอกนุ่มใน แต่หากใช้ไฟอ่อนไปผิวขนมจะค่อนข้างแข็งเหมือนรูปที่สาม ใช้นิ้วบีบเบา ๆ แล้วมันไม่ยุบเข้า หากันเหมือนรูปที่สองน่ะค่ะ ส่วนรูปสุดท้ายให้ดูเนื้อในว่าขนมสุกทั่วถึงดีแล้วค่ะ ลองทำดูนะคะ ทำง่ายมาก ๆ อร่อยด้วยค่ะ


ข้าวเหนียวมะม่วง : sweet sticky rice with mango


ส่วนผสม สำหรับรับประทาน 2 คน
1. ข้าวสารข้าวเหนียว 100 กรัม
2. หัวกะทิ 75 มล.
3. น้ำตาลทราย 30 กรัม
4. เกลือป่น 1/3 ชช.
5. มะม่วงสุก 1 ลูก
6. ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุกแล้วคั่วสำหรับโรยหน้าข้าวเหนียว
7. กะทิราดหน้า (หัวกะทิ 50 มล. + น้ำตาลทราย 1 ชช. + เกลือ 1/4 ชช.+ แป้งข้าวจ้าว 1 หยิบมือ)

วิธีทำ

เลือกสิ่งสกปรกออกจากข้าวเหนียว ก่อนซาว 2 ครั้ง จากนั้นแช่ข้าวสารในน้ำร้อนไว้ประมาณ 1 ชม. เมื่อครบเวลาแล้วนำข้าวเหนียวไปนึ่งให้สุก

ผสมน้ำตาล เกลือ และกะทิลงในอ่างผสม คนจนน้ำตาลละลายหมด เมื่อนึ่งข้าวเหนียวสุกแล้ว เทข้าวเหนียวใส่อ่างน้ำกะทิทันทีที่ร้อนๆ ใช้ไม้ พายคนข้าวเหนียวกับกะทิให้เข้ากันดี แล้วปิดฝาชามอ่างไว้ 20 นาที จากนั้นเปิดฝาคนข้าวเหนียวให้ทั่วอีกครั้ง แล้วปิดฝาไว้อีก 10 นาที แค่นี้ก็ได้ ข้าวเหนียวมูนอร่อยๆ แล้วค่ะ

ทำกะทิสำหรับราดหน้า โดยผสมส่วนผสมข้อ 7 เข้าด้วยกัน คนพอแป้งและน้ำตาลละลาย นำขึ้นตั้งไฟคนตลอดพอเดือดก็ยกลงค่ะ จัดข้าวเหนียวมูนใส่จาน ตักกะทิใส่ถ้วยเล็ก ๆ วางในจาน โรยถั่วบนข้าวเหนียวมูน แล้วนำมะม่วงสุกมาหั่นชิ้นตามชอบ ปอกเปลือก จัดเรียงในจานให้น่ากิน เสร็จแล้วค่ะ


ข้าวต้มผัด : steamed sticky rice in banana leaf


ส่วนผสม
1. ข้าวสารข้าวเหนียว 250 กรัม
2. กะทิ 250 มล.
3. กล้วยน้ำว้าสุกงอม 6 ผล (เราใช้กล้วยหอมแทนเพราะหากล้วยน้ำว้าไม่ได้ค่ะ)
4. ถั่วดำต้มพอนิ่ม 50 กรัม (หรือมากน้อยตามชอบ เราชอบถั่วลิสงก็เลยใช้ถั่วลิสงแทนค่ะ)
5. น้ำตาลทราย 80 กรัม
6. เกลือป่น 1 ช้อนชา
7. ใบตองสำหรับห่อและเชือกสำหรับมัด

วิธีทำ

นำข้าวเหนียวไปซาวสัก 2 ครั้งแล้วแช่น้ำไว้ประมาณ 20 นาทีค่อยสะเด็ดน้ำค่ะ ระหว่างนั้นก็เตรียมใบตองที่จะใช้ห่อ โดยนำผ้าหนึ่งผืนชุบน้ำบิดให้หมาด แล้วนำไปเช็ดใบตองให้สะอาด จากนั้นฉีกใบตองเป็นแผ่นกว้างประมาณ 8 นิ้วค่ะ ส่วนกล้วยน้ำว้าก็ปอกเปลือก แล้วผ่าครึ่งค่ะ

ผสมน้ำตาล เกลือ และกะทิลงในหม้อหรือกระทะก้นมน นำขึ้นตั้งไฟจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี แล้วใส่ข้าวเหนียวลงไปคนจนน้ำกะทิแห้ง ข้าว เหนียวมีลักษณะสุก ๆ ดิบ ๆ ก็ยกลงจากเตา ใส่ถั่วดำต้มหรือถั่วลิสงลงไปคนให้เข้ากันค่ะ

จากนั้นก็เริ่มห่อโดยการนำใบตองมาวางสลับหัวท้ายซ้อนกัน 2 แผ่น ตักข้าวเหนียวที่ผัดไว้ใส่ตรงกลางใบตองประมาณ 3 ชต. แล้ววางกล้วยบนข้าวเหนียว ตักข้าวเหนียวมากลบกล้วยให้ทั่ว แล้วจับชายใบตองบน-ล่างทบเข้าหากันพับไปเรื่อยๆ จนใบตองปิดข้าวเหนียวดี จากนั้นใช้นิ้วชี้หักที่ด้านบนให้เป็นมุม แล้วพับใบตองเข้าหาตัว ทำเหมือนกันทั้งด้านซ้ายและด้านขวา พยายามห่อให้แน่นเข้าไว้นะคะ จากนั้นทำเหมือนกันอีกห่อหนึ่ง แล้วนำมาประกอบกัน มัดด้วยเชือกให้แน่นค่ะ (ปล. เราห่อไม่สวย ห้ามเลียนแบบนะคะ)

เมื่อห่อใกล้เสร็จ หาซึ้งใส่น้ำเกินครึ่งหนึ่งของซึ้ง นำขึ้นตั้งไฟแรงจนน้ำเดือด พอห่อเสร็จก็เรียงข้าวต้มมัดในรังถึง แล้ววางบนซึ้งที่น้ำเดือดอยู่ นึ่งไฟแรงประมาณ 30-40 นาทีจนสุกค่ะ

ฟักทองเชื่อม : pumpkin in syrup

ฟักทองเชื่อม อีกหนึ่งเมนูขนมไทยทำง่ายแสนง่ายแต่อร่อยเหลือหลาย (สำหรับคนชอบ ฮ่าๆ) ยิ่งใครหาฟักทองไทยเนื้อแน่นๆ ได้เนี่ย สวรรค์ลอยมาเลยค่ะ ส่วนฟักทองที่เราใช้นี้เป็นฟักทองพันธุ์ Hokkaido สีส้มแปร๊ด มีรสมันเหมือนฟักทองไทย เนื้อยุ่ยง่ายกว่าจึงต้องแช่ น้ำปูนใสนานนิดนึง ก็ช่วยให้ชิ้นฟักทองคงรูปได้ดีค่ะ

ส่วนผสมโดยประมาณ

  • ฟักทอง 1 ลูก (หนักประมาณ 1 กก.)
  • น้ำปูนใส 3 ถ.
  • น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ.
  • น้ำลอยดอกไม้ 2 ถ. (เราใช้น้ำสะอาดแทนค่ะ)
  • น้ำมะนาว 1 ชช.
  • กะทิสำหรับราดหน้า (หัวกะทิ 1/2 ถ.+ น้ำตาลทราย 1 ชช.+ เกลือ 1/2 ชช.+ แป้งข้าวจ้าว 1/4 ชช. ใส่รวมกันในหม้อ คนให้น้ำตาลและแป้งละลาย ตั้งไฟพอเดือด ยกลง)
วิธีทำ

นำฟักทองมาผ่า ตักไส้และเมล็ดออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นเล็กใหญ่ตามชอบ หรือใครมีฝีมือก็แกะสลักให้หรูเริ่ดไปเลยค่ะ จากนั้นล้างขัดผิวให้สะอาดหมดจด นำไปแช่น้ำปูนใสไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อที่ตอนนำไปเชื่อมฟักทองจะได้คงรูปสวยงาม ไม่เปื่อยยุ่ยเละเทะไปซะก่อนน่ะค่ะ

เมื่อครบเวลาแล้วนำฟักทองมาล้างน้ำสะอาดก่อนนำไปเชื่อมค่ะ เสร็จแล้วหาหม้อใบใหญ่นิดนึงเทน้ำลอยดอกไม้ใส่ลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย นำหม้อตั้งไฟกลาง ต้มจนน้ำตาลละลายกลายเป็นน้ำเชื่อม ใส่น้ำมะนาวลงไปคนพอเข้ากัน แล้วจึงใส่ชิ้นฟักทองลงไปคนนิดหน่อยพอทั่วถึง แล้วจึงลดเหลือไฟกลางค่อนข้างอ่อน กลับด้านฟักต้มไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นกลับด้านฟักทอง 1 ครั้ง เบามือด้วยนะคะฟักทองจะได้ไม่เละ เมื่อเห็นว่าน้ำเชื่อมเริ่มแห้ง มีลักษณะข้นและเหนียว ฟักทองใสเป็นมันเงาก็ปิดไฟค่ะ (ใช้เวลาเชื่อมรวมแล้วประมาณ 20 นาทีค่ะ) ตักเสิร์ฟโดยตักน้ำเชื่อมราดบนชิ้นฟักทองนิดหน่อย ตักกะทิราดบนฟักทองด้วย แค่นี้ก็ได้ลิ้มรสฟักทองเชื่อมที่ทั้งหวาน ทั้งมัน กลมกล่อม อร่อยดีค่ะ

กล้วยไข่ทอด : deep fried banana

ชอบกินกล้วยทอดกันมั้ยคะ เมื่อก่อนเราชอบมากเลยค่ะ บรรดากล้วยทอดทั้งหลายเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยแขกหรือกล้วยหอมทอด ได้ กินทีไรเป็นเพลินแตะเบรกไม่ได้ทุกทีไปค่ะ แล้ววันนี้นั่งอยู่ดี ๆ ก็อยากกินกล้วยหอมทอดขึ้นมาติดหมัด แต่บังเอิญไม่มีกล้วยหอมติดบ้าน มีแต่กล้วยไข่ เอาน่า... กล้วยไข่ก็กล้วยไข่ รสชาติคงไม่ต่างกันมากหรอกเนอะ

ส่วนผสมนะคะ

  • กล้วยไข่ 6-7 ลูก
  • แป้งอเนกประสงค์ 60 กรัม
  • น้ำเย็นจัด 100 มล.
  • น้ำตาลทราย 1 ชต.
  • น้ำตาลวานิลา 1/2 ซอง (ถ้าไม่มีใช้กลิ่นวานิลา 1/2 ชช. ค่ะ)
  • เบกกิ้งโซดา 1/4 ชช.
  • เกลือ 1/4 ชช
  • น้ำมันพืช สำหรับทอด
วิธีทำ

ใส่แป้ง เกลือ น้ำตาลทราย น้ำตาลวานิลา และเบกกิ้งโซดาในอ่างผสม ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ค่อยๆ เทน้ำเย็นใส่ลงไปใน อ่างแป้ง คนจนแป้งเนียนดีก็ใช้ได้ค่ะ

นำกระทะหรือหม้อใบเล็กๆ ตั้งไฟกลาง ใส่เนยขาวหรือน้ำมันพืชลงไปค่ะ ขณะที่รอให้น้ำมันร้อนก็จัดการปอกเปลือกกล้วยไข่ซะ ใครชอบแบบเป็นลูกเล็กๆ พอคำก็หั่นเป็นท่อนๆ สั้นยาวตามชอบนะคะ พอน้ำมันร้อนได้ที่ก็นำกล้วยมา ชุบแป้งที่ผสมไว้ แล้วทอดจนแป้งมีสีเหลืองทอง ตักขึ้นวางบนกระดาษเพื่อซับน้ำมัน

ทอดเสร็จแล้วก็ได้เวลาอร่อยกันแล้วค่ะ ใครชอบทานคู่กับวิปป์ครีม น้ำผึ้ง หรือจะแค่โรยไอซิ่งเหมือนเราก็ตามสบายเลยนะคะ

ทอดเสร็จแล้วก็ได้เวลาอร่อยกันแล้วค่ะ ใครชอบทานคู่กับวิปป์ครีม น้ำผึ้ง หรือจะแค่โรยไอซิ่งเหมือนเราก็ตามสบายเลยนะคะ นี่รูปนี้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ เพือความสะดวกในการหม่ำค่ะ

ฟักทองแกงบวด : sweet pumpkin soup


เมนูวันนี้เป็น "ฟักทองแกงบวด" ค่ะ ของหวานไทยๆ ทำง่ายสุดๆ ของโปรดของพี่สาวกับน้องสาวสุดที่รักของเราเองค่ะ มาดูส่วนผสม โดยประมาณกันนะคะ ใครชอบหวาน มัน เค็ม มากน้อยกว่านี้ยังไงก็ปรุงรสตามชอบเลยเน้อ

ส่วนผสม
1. ฟักทองแก่จัด 400 กรัม
2. หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
3. หางกะทิ 2 1/2 ถ้วย
4. น้ำตาลปึก 1 1/2 ก้อน
5. น้ำตาลทราย 55 กรัม
6. เกลือ 1/2 ชช.
7. น้ำปูนใส 2 ถ้วย (กรณีที่ใครชอบกินฟักทองแบบนิ่มนอกนิ่มในก็ตัดน้ำปูนใสไปได้เลยค่ะ)

วิธีทำ

เริ่มทำโดยนำฟักทองมาคว้วนไส้และเมล็ดออก นำไปล้างให้สะอาดหมดจด แล้วก็ปอกเปลือกค่ะ ไม่ต้องเกลี้ยงเกลามากหรอกนะคะ ให้เหลือสีเขียวๆ ติดไว้บ้างก็ดีเพื่อความสวยงามค่ะ จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นพอคำ นำไปแช่น้ำปูนใสไว้สัก 1 ชม.ค่ะ

นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟกลาง (เราใช้กะทิกล่องค่ะ ส่วนที่เป็นหางกะทิก็ผสมกะทิ : น้ำสะอาด ในอัตราส่วน 60:40 ค่ะ ถ้าไม่ผสม น้ำรู้สึกว่ากะทิมันจะข้นแล้วก็มันเกินไป ทานแล้วจะเลี่ยนเกินนะคะ) พอกะทิเดือดใส่น้ำตาลปึก น้ำตาลทรายและเกลือลงไปคนให้น้ำตาล ละลายค่ะ

เมื่อน้ำตาลละลายหมดก็ใส่ฟักทองที่หั่นไว้ลงไปคนนิดหน่อย แล้วปิดฝาต้มประมาณ 15-20 นาที หรือจนกว่าฟักทองจะสุกค่ะ จากนั้น ก็เทหัวกะทิใส่ลงไป ลดไฟอ่อนต้มต่อจนเดือดอีกครั้งก็ปิดไฟ เรียบร้อยแล้วค่ะ ง่ายใช่มั้ยล่ะ

นางเล็ด ข้าวแตน หรือ ข้าวแต๋น : nang led

ขนมนางเล็ดที่เป็นขนมไทยโบราณที่เด็กรุ่นใหม่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ เรารุ่นเก่ากึ๊กยังเลือนๆ ไปบ้างเลยค่ะ วันนี้ลองค้นหาสูตรในเน็ตดูก็ปรากฎว่าไปได้สูตรจากเวปฐานข้อมูลท้องถิ่นของสำนัก วิทยุบริการฯ มาค่ะ (ขอบคุณมากค่า) แต่เราก็ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น ตอนทำก็มาดัดแปลงจากสูตรต้นตำหรับอีกทีค่ะ ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจมากถึงมากที่สุดค่ะ เพราะกรอบ อร่อย รสชาติกลมกล่อมเชียวค่ะ แฟนบอกอร่อยกว่าที่เค้าขายอีก (รู้ว่าภรรยาบ้ายอค่ะ ชมเข้าไว้จะได้ทำให้กินบ่อยๆ ฮ่าๆ ) ไม่คิดว่าจะทำง่ายอย่างนี้เลยค่ะ มาดูส่วนผสมโดยประมาณ (คือตอนทำไม่ได้ชั่งได้ตวงน่ะค่ะ กะๆ เอา) และวิธีทำกันเลยนะคะ

ส่วนผสม
1. ข้าวเหนียว 300 ก.
2. น้ำตาลทราย 1 ชต.
3. เกลือ 1/4 ชช.
4. น้ำแตงโม 2 ชต.
5. น้ำสะอาด 1-2 ชต.
6. น้ำตาลปึก 3 ก้อน

วิธีทำ

นำข้าวเหนียวไปแช่น้ำร้อนไว้ประมาณ 1-2 ชม. ค่ะ จากนั้นก็นำไปนึ่งจนสุก ใช้เวลานึ่งประมาณ 20-30 นาทีค่ะ ระหว่างที่รอข้าวเหนียวสุก เราก็ไปนำน้ำแตงโม น้ำตาลทรายและเกลือคนให้เข้ากัน พักไว้ก่อนค่ะ พอข้าวเหนียวสุกปุ๊บ ยกลงเทใส่ชามผสม แล้วก็เทน้ำแตงโมตามลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันค่ะ

จากนั้นเราก็หาฝาพลาสติกหรืออะไรก็ได้ค่ะที่มีลักษณะกลมๆ ก้นตื้นๆ ขนาดเล็กใหญ่ตามชอบ นำข้าวเหนียวไปใส่ในพิมพ์ให้ ทั่วพยายามทำให้บางๆ อย่าให้หนาและติดกันมากนะคะ เดี๋ยวตอนทอดจะไม่พองกรอบเท่าที่ควรค่ะ ทำรูปร่างเสร็จก็เอาไปใส่ถาดเรียงกันไว้ค่ะ

เมื่อปั้นเสร็จแล้วจับอาบแดดสัก 1-2 แดด หรือจนแห้งสนิทน่ะค่ะ แต่เราหาแดดไม่ได้ เลยต้องจับไปอบในในเตาอบค่ะ ใช้ความร้อน 80ซี อบลมร้อนประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็แห้งแล้วค่ะ อ้อ.. ตอนอบก็กลับด้านมันด้วยนะคะ จะได้แห้งเสมอกันทั้งสองด้านค่ะ

เมื่อข้าวเหนียวแห้งได้ที่ เราก็นำมาทอดในน้ำมันร้อน ใช้ไฟกลางนะคะ ทอดให้พองสวยทั้งสองด้าน แล้วก็ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมันค่ะ พอทอดเสร็จแล้วเราก็ไปทำน้ำตาลโรยหน้าขนมกันค่ะ โดยใส่นำสะอาดกับน้ำตาลปึกใส่หม้อตั้งไฟ คนเรื่อยๆ พอน้ำตาลละลายและข้นเหนียวดีก็ยกลง พักให้เย็นสัก 2 นาที แล้วจึงนำน้ำตาลไปโรยหน้านางเล็ดค่ะ พอน้ำตาลจับตัวกันดีก็นำไปใส่กล่องพลาสติกหรือถุงพลาสติกปิดฝาให้แน่นเก็บไว้ได้นานประมาณ 2-4 สัปดาห์ค่ะ

มันสำปะหลังเชื่อม : tapioca in syrup

ส่วนผสม
  • มันสำปะหลัง 1 กิโลกรัม
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  • น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ถ้วย
  • น้ำสะอาด 4 ถ้วย
  • หัวกะทิ 1 ถ้วย
  • เกลือ 1/2 ชช.
วิธีทำ

นำมันสำปะหลังมาปอกเปลือก หั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 3 นิ้ว แล้วล้างให้สะอาดค่ะ พักไว้ก่อนค่ะ จากนั้นใส่น้ำเปล่า น้ำตาลทราย และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อใบใหญ่ นำหม้อตั้งไฟต้มพอเดือดและน้ำตาลละลายหมด จึงใส่มันสำปะหลังลงไปเคี่ยวไฟอ่อน ๆ ไปเรื่อยๆ จนสุกเปื่อย และน้ำเชื่อมเหนียวข้นดีค่ะ

จากนั้นนำหม้อใบเล็กมาหนึ่งใบ ใส่หัวกะทิและเกลือลงไป นำหม้อตั้งไฟกลางพอเดือดปิดไฟค่ะ พอกะทิเย็นก็นำไปราดหน้ามันเชื่อม หอม หวาน มัน อร่อยมากๆ เลยจ้า

สังขยาฟักทอง : steamed custard in pumpkin

ส่วนผสม
  • ฟักทองหนักประมาณ 1 กก. 1 ลูก
  • หัวกะทิ 200 มล.
  • ไข่เป็ดขนาดใหญ่ 3 ฟอง (เราใช้ไข่ไก่ค่ะ)
  • น้ำตาลปี๊บ 180 กรัม (เราใช้น้ำตาลปึกเกือบๆ 3 ก้อน)
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • ใบเตย 2 ใบ
วิธีทำ
ขั้นแรกล้างฟักทองให้สะอาดหมดจด แล้วเจาะตรงขั้วด้านบนทำเป็นฝา ดึงออกมา แล้วตักไส้และเมล็ดออกให้หมดค่ะ ใบเตยก็ตัดเป็นท่อนๆ หรือม้วนเป็นมัดๆ ก็ได้ค่ะ
ตอกไข่ใส่อ่างผสม ใส่ใบเตยลงไปขยำรวมกับไข่ประมาณ 2-3 นาที แล้วใส่น้ำตาลปีบเกลือลงไป นวดต่อประมาณ 10 นาที จากนั้นค่อยๆ เทกะทิใส่ ขณะที่เทก็นวดให้เข้ากับส่วนผสมตลอด เวลานะคะ นวดไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมมีลักษณะข้นเหนียวดี (รวมเวลานวดทั้งหมดตั้งแต่เริ่มนวดใบเตยกับไข่ 20 นาทีค่ะ) เอาใบเตยทิ้งไป แล้วกรองส่วนผสมหนึ่งครั้ง เพื่อให้ได้เนื้อ สังขยาที่เนียนดีค่ะ กรองเสร็จแล้วก็เทใส่ลูกฟักทองจนเต็ม เหมือนในภาพค่ะ หั่นเนื้อที่ฝาฟักทองใส่ไปด้วยก็ดี จะได้ออกมาน่ากินค่ะ (เทคนิคนี้ได้จากน้องพิมเอ็นย่าค่ะ ขอบคุณมากจ้า)

นำฟักทองวางบนถ้วยอลูมิเนียม นำไปนึ่งไฟแรงประมาณ 60 นาที หรือจนกว่าสังขยาจะสุกค่ะ ทดสอบได้โดยการใช้ปลายมีดทิ่มไปตรงกลาง หรือรู้สึกว่าสังขยาหนึบ ๆ แน่น ๆ ไม่เหลวเป็นน้ำ ก็แสดงว่าสุกแล้วค่ะ

เมื่อนึ่งจนสุกแล้วก็นำออกจากรังถึง ปล่อยไว้ให้เย็นสนิทก่อนที่จะตัดทานค่ะ ถ้าตัดตอนที่ยังร้อนอยู่ สังขยายังไม่อยู่ตัว รับรองว่าเละหมดแน่ค่ะ รูปล่างนี้ผ่าให้ดูเนื้อสังขยาค่ะ แต่อันนี้ทำคนละครั้งกับข้างบนนะคะ ใช้ฟักทองแค่ครึ่งลูก ตักไส้ออกเทสังขยา ใส่แล้วโรยเนื้อฟักทองพองาม นึ่งประมาณ 35 นาทีก็ได้สังขยา ฟักทองอร่อยๆ มาสังเวยแล้วค่ะ



ขนมชั้น : coconut layers sweet

แฟนชอบขนมชั้นมากๆ เราเลยทำค่อนข้างบ่อย แต่จริงๆ แล้วกินเยอะๆ ก็ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไหร่นะคะ แป้ง กะทิ น้ำตาลทั้งนั้น อ้วนอืดเลยค่ะ แต่ก็แอบปลอบตัวเองว่านานๆ กินทีคงไม่เสียหายอะไรมากหรอกเนอะ เมื่อก่อนตอนซื้อเค้ากินจะเฉยๆ ค่ะ ไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่พอทำเองได้ มันภูมิใจน่ะค่ะ เลยกินเอ๊า กินเอา อิอิ ขั้นตอนการทำขนมเนี่ยแป๊ปเดียว ง่ายๆ แต่มาเสียเวลาตอนนึ่งเนี่ยแหละค่ะ กว่าจะหมดแป้งก็นานเหลือเกิน แต่ก็คุ้มอ่ะค่ะ อร่อยมากๆ เลย นุ่มนิ่มๆ ส่วนผสมขนมชั้นก็ตามนี้เลยนะคะ

ส่วนผสม
1. แป้งข้าวเจ้า 40 กรัม
2. แป้งมัน 100 กรัม
3. น้ำตาลทราย 180 กรัม (ใครชอบหวานก็เพิ่มน้ำตาลอีก 10-15 กรัมนะคะ เรากินไม่หวานมาก ใส่แค่นี้รู้สึกว่าหวานกำลังดี แต่แฟนบอกน่าจะ หวานกว่านี้อีกนิดนึงน่ะค่ะ)
4. น้ำกะทิ 500 มล.
5. น้ำสะอาด 50 มล.
6. น้ำใบเตยคั้นข้นๆ 50 มล. (ส่วนสีชมพูเราใช้น้ำหวานเฮลส์บลูบอยค่ะ)
7. ถาดหรือพิมพ์สำหรับใส่ขนมทาน้ำมันพืชบางๆ ให้ทั่ว

วิธีทำ

ใส่น้ำตาลทรายและน้ำกะทิในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟคนพอน้ำตาลละลายและเดือดก็ปิดไฟค่ะ พักไว้ให้อุ่น จากนั้นเทแป้งทั้งสองชนิดใส่ชามผสม ตักหัวกะทิจากหม้อมาใส่แป้งนวดจนเป็นก้อน แล้วค่อยๆ เทกะทิที่ยังอุ่นอยู่ใส่แป้งทีละน้อยจนกะทิหมด นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที แล้วจึงแบ่งส่วนผสมออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใส่น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน อีกส่วนหนึ่งใส่น้ำใบเตยคนให้เข้ากัน (หรือจะแบ่งส่วนนี้ผสมสีอื่นๆ อีกตามชอบ ก็ได้ค่ะ)

ตอนนี้ก็ได้เวลานึ่งขนมแล้ว นำรังถึงใส่น้ำขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำเดือดวางถาดที่จะใช้นึ่งลงไป นึ่งถาดพอร้อนค่อยตักแป้งสีเขียวลงไปบางๆ 1 ชั้น ปิดฝานึ่งประมาณ 5 นาทีจนแป้งสุกใสจึงหยอดแป้งสีขาวทับลงไปนึ่งต่อ 5 นาที ทำสลับสีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 9 ชั้นค่ะ ระหว่างนึ่งขนมต้องคอยระวังไม่ให้น้ำในรังถึงแห้งด้วยนะคะ เราทำครั้งแรกลืมค่ะ ไม่ได้ระวังพอเสร็จน้ำในซึ้งแห้งผากเลยค่ะ เกือบไหม้เลี้ยว)

กรุ๊ปนี้เป็นใบเตยค่ะ คนที่บ้านไม่ค่อยปลื้ม ตาคนนี้ไม่ค่อยชอบกินอะไรที่มีส่วนผสมของใบเตย คือกินได้แต่ไม่ชอบ เราก็ประหลาดพอๆ กันค่ะ ยิ่งรู้ว่าเค้าไม่ชอบใบเตยเราก็ยิ่งชอบทำอะไรที่ต้องใส่ใบเตย..ฮา ขนมชั้นเซ็ตนี้เขียวเป็นพระอินทร์เลย เสร็จโจร อิอิ

อันนี้ใส่พิมพ์นึ่งค่ะ แป้งนิ่มจริงๆ นี่เลยค่ะ ลอกโชว์ให้ดูว่ามันนิ่มแค่ไหน คุณฝาชีเรากลืนหาย กลืนหาย แทบไม่ต้องเคี้ยวเลย ถูกใจคนแก่ ฮ่าๆ

เราทำใส่พิมพ์บ้าง ใส่ถาดบ้าง ใช้ที่ตัดคุ๊กกี้ ตัดเป็นรูปหัวใจบ้าง จริง ๆ อยากจะพับกุหลาบเยอะ ๆ หน่อย มันดูอ่อนช้อยสวยงามดี แต่ไม่มีเวลาค่ะ ต้องรีบไปดูหนัง ฮ่าๆ สุดท้ายเลยได้มาแค่นี้ ถึงจะพับบูดๆ เบี้ยวๆ ไปบ้างแต่ก็ยังอยากโชว์ค่ะ คริคริ

อ้อ.. เกือบลืมบอกไปว่าเมื่อนึ่งขนมสุกแล้วควรรอให้ขนมเย็นก่อนจะตัดหรือเอาออกจาก พิมพ์นะคะ เพราะเมื่อขนมเย็นแล้วจะเอาออกจากพิมพ์ได้ง่าย รวมทั้งตัดได้เรียบสวยด้วยค่ะ เนี่ย .. เราใจร้อน ขนมยังไม่เย็นเลยก็รีบๆ ตัดแล้ว เลยออกมาไม่ค่อยสวยเท่าที่ควร ++เจ็บจั๊ย++

รวมมิตร ทับทิมกรอบ : ruammit tabtim grob

ส่วนผสมทับทิมกรอบ
  • แห้วปอกเปลือก หั่นเต๋า 1 ถ้วย
  • แป้งมัน 3/4 ถ้วย
  • น้ำหวานสีแดง 2 ชต.
  • น้ำหวานสีเขียว 2 ชต.
วิธีทำ

นำแห้วที่หั่นแล้วแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งนำไปผสมกับน้ำแดง อีกส่วนหนึ่งผสมกับน้ำเขียว คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือจนสีติดดีแล้วก็สงขึ้น สะเด็ดน้ำทิ้งไว้ จากนั้นก็นำแห้วไปคลุกกับแป้งมันจนแป้งติดทั่วชิ้นแห้ว นำหม้อใส่น้ำตั้งไฟให้เดือด แล้วเอาแห้วใส่กระชอนเขย่าแป้งส่วนเกินทิ้งไป แล้วใส่แห้วในน้ำเดือด ต้มสักพักแห้วจะสุกและลอยขึ้นมาเราก็ใช้กระชอนตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นค่ะ

ส่วนผสมตัวหนอน
  • แป้งมัน 1/2 ถ้วย
  • น้ำร้อนจัดประมาณ 1/3 ถ้วย
วิธีทำ

ใส่น้ำร้อนลงไปในอ่างแป้ง นวดให้เข้ากันและแป้งเนียนดีค่ะ จากนั้นก็แผ่แป้งเป็นแผ่นบางแล้วตัดเป็นเส้น ๆ พอตัดแล้วคลุกแป้งมันกัน แป้งติดกันด้วยนะคะ เสร็จแล้วก็นำหม้อใส่น้ำตั้งไฟให้เดือด แล้วเอาตัวหนอนใส่กระชอนเขย่าแป้งส่วนเกินทิ้งไป แล้วเทใส่ในน้ำเดือด ต้มสักพักก็จะสุกลอยขึ้นมา เราก็ใช้กระชอนตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นค่ะ

ส่วนผสมอื่นๆ

  • ขนุนหั่นเป็นเส้น
  • ลูกตาลเชื่อมหั่นเส้น
  • ลูกชิด ลูกจาก
  • เม็ดสาคูต้มแล้ว
ส่วนผสมกะทิ
  • กะทิ 1 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
  • เกลือ 1/4 ชช.
วิธีทำ

ผสมกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน คนตลอดเวลาจนเดือดก็ยกลงค่ะ พอจะทานก็ตักทับทิมกรอบ ตัวหนอน ขนุน ลูกตาล ลูกชิด ลูกจากใส่ถ้วยแล้วราดด้วยกะทิ ใครชอบทานแบบเย็นๆ ก็ใส่น้ำแข็งบดลงไปด้วยก็ได้ค่ะ