Saturday, April 30, 2011

ยากิโซบะ : Yakisoba


สวัสดีค่ะทุกคน หายหน้าหายตาไปนานมากเลยจนหลายๆ คนอาจกำลังสงสัยว่าเจ้าของบล็อกคงจะปิดกิจการไปแล้วซะล่ะมั้ง ยังค่ะยัง ตอนนี้กลับมาประจำการเหมือนเดิมแล้ว ช่วงที่หายไปนั้นไม่ได้ไปตระเวณเที่ยวที่ไหนค่ะ แต่พอดีรู้สึกเบื่อๆ ขี้เกียจๆ ยังไงก็ไม่รู้ ไม่อยากลงมือทำอะไรเลย อยากกินขนมอะไรถ้าไม่ซื้อก็มีเพื่อนเลิฟทำมาสงเคราะห์ให้ ฮ่าๆ  ส่วนอาหารก็ไปกินที่ร้านบ่อยมาก ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน อยู่ๆ ก็ไม่อยากเข้าครัวซะเฉยๆ  แต่ตอนนี้วิญญาณแม่ครัวเริ่มกลับมาแล้วค่ะ ต่อไปนี้คงได้อัพบล็อกบ่อยขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ยังติดตามอยู่นะคะ

วันนี้เรามียากิโซบะมาเสิร์ฟค่ะ ตอนแรกถามพ่อบ้านว่าอยากกินอะไร เค้าบอกว่าอยากกินสเต๊ก แต่เราไม่อยากกินสักนิด  เค้าก็ถามว่าแล้วเราอยากกินอะไร เราก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะตอนนั้นไม่รู้สึกหิวหรืออยากจะกินอะไรเลย แต่เมื่อถึงเวลาอาหารก็ต้องกินใช่มั้ยคะ ก็เดินเข้าครัวรื้อหาวัตถุดิบไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปเจอห่อโซบะเข้า ซื้อมาหลายวันแล้วแต่ไม่ได้ลองทำกินซะที เมื่อวานเลยถือเป็นฤกษ์ดีทำยากิโซบะกินกันค่ะ  เป็นยากิโซบะแบบตามใจฉันนะคะ อาจไม่เหมือนต้นตำหรับแต่ก็อร่อยในแบบของเราค่ะ พ่อบ้านชมเปาะ คนทำก็ปลื้มไปสิคะ

เครื่องปรุง  (โดยประมาณนะคะ)
  • เส้นโซบะ 150 กรัม 
  • เนื้อหมู/เนื้อไก่/เนื้อวัว/กุ้ง/เต้าหู้  150 กรัม (ชอบอะไรก็ใส่อันนั้นนะคะ เราใช้หมูกับปูอัดค่ะ)
  • หอมหัวใหญ่ 1 หัว
  • กระเทียม 1 กลีบใหญ่
  • ผัก เช่น แครอท พริกหวาน ต้นหอม ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ถั่วงอก ใส่ตามชอบเลยค่ะ
  • น้ำมันพืช 1 ชต.
นำเส้นโซบะไปต้มในน้ำเดือดจนเส้นนิ่ม  เทใส่ตะแกรงผ่านน้ำเย็น แล้วสะเด็ดน้ำไว้ค่ะ  หั่นเนื้อเป็นชิ้นบางๆ ปอกเปลือกหอมหัวใหญ่แล้วหั่นเป็นวง ปอกเปลือกกระเทียมซอยละเอียด ผักอื่นๆ ก็หั่นตามชอบค่ะ



ส่วนผสมซอสปรุงรส  (โดยประมาณนะคะ)
  • ซอสคิกโคแมน 2 ชต.
  • worcestershire sauce 1 ชต.
  • ซีอิ้วดำ 1 ชช.
  • น้ำมันงา 1 ชช.
  • มิริน 1 ชต.
  • พริกไทยป่น 1/2 ชช.
  • น้ำซุปไก่ 1/4 ถ้วย
ผสมทุกอย่างในถ้วยแล้วคนให้เข้ากัน แล้วเราก็มาลงมือผัดเส้นโซบะกันเลยค่ะ

วิธีทำ


นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันร้อนใส่หอมหัวใหญ่กับเนื้อหมูลงไปผัดรวมกันจนหมูสุก ใส่แครอทและพริกหวานลงไปผัดให้เข้ากัน จากนั้นใส่น้ำซอสปรุงรสลงไปค่ะ

ใส่เส้นโซบะคงไปผัดให้เข้ากัน แล้วใส่ปูอัดลงไปผัดไปเรื่อยๆ จนน้ำซอสแห้ง ชิมรสตามชอบ สุดท้ายใส่ผักกาดขาวลงไปผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ ตักใส่จานเสิร์ฟร้อนๆ ค่ะ อร่อยๆ ทุกคนนะคะ



Wednesday, April 27, 2011

บัวลอยทรงเครื่อง : rice balls in coconut milk


วันนี้อยากกินบัวลอยไข่หวานมากๆ อดรนทนไม่ไหวทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำขนมหวานสักระยะหนึ่ง เพราะช่วงนี้อืดไม่เกรงใจใครเลย แต่สุดท้ายก็แพ้เสียงเรียกร้องของหัวใจไม่ไหว ลงมือทำจนได้สิน่า ปริมาณส่วนผสมที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ตวงนะคะ กะๆ เอาน่ะค่ะ ยังไงถ้าแห้งไปก็เติมน้ำสะอาดหน่อยนวดจนแป้งเนียนดีแล้วจึงปั้นนะคะ

ส่วนผสมโดยประมาณ สำหรับรับประทาน 3 คนนะคะ
1. หางกะทิ 1 1/2 ถ้วย
2. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
3. น้ำตาลปี๊บ 1/4 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
5. เผือกปอกเปลือกหั่นเต๋า 1/4 ถ.
6. ไข่ไก่ 3 ฟอง
7. หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
8. เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเส้น 1/4 ถ.

เผือก - สีขาว
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
เผือก 1/3 ถ้วย
น้ำเปล่า 1-2 ชต.

ต้มหรือนึ่งเผือกจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดรวมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าแห้งไปเติมน้ำเล็กน้อย เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้ พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

ฟักทอง - สีเหลือง
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
ฟักทอง 1/3 ถ้วย

ต้มหรือนึ่งฟักทองจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

ใบเตย - สีเขียว
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
น้ำใบเตยข้นๆ 2-3 ชต.

ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำใบเตย นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

บลูเบอรี่ - สีม่วง
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
บลูเบอรี่บดละเอียดแล้วกรอง 2-3 ชต.

ผสมแป้งและบลูเบอรี่เข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

สตรอว์เบอรี่ - สีชมพู
แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
สตรอว์เบอรี่บดละเอียดแล้วกรอง 2-3 ชต.

ผสมแป้งและสตรอว์เบอรี่เข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

วิธีทำ
เมื่อนวดแป้งเสร็จแล้วก็มาปั้นบัวลอยกันค่ะ เราแบ่งแป้งประมาณครึ่งหนึ่งของทุกสีมาปั้นเป็นเม็ดกลมๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/2 ซม. ค่ะ อ้อ.. อย่าลืมโรยแป้งมันบางๆ บนเม็ดบัวลอยกันแป้งติดกันด้วยนะคะ

แป้งส่วนที่เหลือ เรานำมาปั้นเป็นบัวลอยแฟนซีหลากสีค่ะ วิธีปั้นก็แค่ปั้นแป้งแต่ละสีเป็นแท่งผอมๆ ยาวๆ หนาประมาณ 1/2 ซม. แล้วก็นำทั้งสองสีมาประกบกัน แบ่งปั้นเป็นเม็ดกลมๆ แค่นี้ก็ได้บัวลอยแฟนซีหลากสีสันแล้วค่ะ

นำหางกะทิ น้ำตาลปี๊บ และน้ำตาลทรายใส่หม้อตั้งไฟกลางต้มจนเดือด แล้วใส่เม็ดบัวลอยที่ปั้นไว้ต้มจนเม็ดบัวลอยสุกลอยขึ้นมา ใส่เผือกที่หั่นไว้ แล้วตอกไข่ใส่ลงไปต้มประมาณ 5-6 นาทีจนไข่สุก ใส่หัวกะทิต้มต่อพอเดือดก็ปิดไฟ ชิมรสตามชอบ ใส่มะพร้าวอ่อนลงไป เรียบร้อยค่ะ

เสร็จเรียบร้อยแล้วหน้าตาก็ออกมาประมาณนี้ค่ะ กะทำนิดเดียวเท่านั้นแต่ยังไงไม่รู้ได้บัวลอยมาเต็มหม้อเลย งานนี้ได้กินสองวันแหง๋มๆ อ้วนนนน แต่อร่อยค่ะ หวานมันฉันคือเธอจริงๆ นี่ขนาดมั่วนะเนี่ย อิอิ

Friday, April 15, 2011

หมูอบ

อาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ค่ะ ทำง่ายๆ รสชาติก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ 55 อาจเป็นเพราะเราเป็นคนชอบกินอาหารหมูๆ บรรดามี เช่น หมูทอด หมูปิ้ง หมูอบ อะไรพวกนี้ด้วย ทำทีไรก็เจริญอาหารทุกทีค่ะ มาดูวิธีทำหมูอบสามรสในแบบของเรากันนะคะ

เครื่องปรุง (โดยประมาณตามเคยค่ะ)
  1. เนื้อหมูติดมันนิดหน่อย ส่วนที่ใช้ทำสเต๊กนะคะ 100 กรัม
  2. กระเทียมสับละเอียด 1/2 ชต.
  3. ขิงสับละเอียด 1 ชช.
  4. ซีอิ๊วขาว 1 ชต.
  5. น้ำมันหอย 1 ชต.
  6. น้ำผึ้ง 1 ชช.
  7. น้ำมันงา 1 ชช.
  8. นมสด 2 ชต.
  9. พริกไทยป่น 1/3 ชช.
  10. น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย
  11. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 ชช.
หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นขนาดพอๆ กับกูลาช ใส่อ่างผสม ตามด้วยเครื่องปรุงทุกอย่างยกเว้นน้ำกับแป้งสาลี คนให้เข้ากัน หมักไว้ในเย็นประมาณ 1 ชม. (วันนี้ขี้เกียจรอเลยไม่ได้หมักค่ะ)

นำกระทะตั้งไฟกลาง ใส่น้ำลงไปจนเดือด ใส่หมูที่หมักไว้ ต้มพอเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ หากอ่อนเค็มก็เติมซีอิ้วขาวเพิ่มได้ค่ะ เมื่อชิมรสได้ที่แล้วก็ลดไฟอ่อนสุด ปิดฝาอบประมาณ 20-30 นาที หรือจนน้ำเริ่มแห้งค่ะ

น้ำแป้งละลายกับน้ำเย็นเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เทใส่กระทะ คนตลอดเวลาด้วยนะคะ น้ำจะข้นขึ้นเยอะ จากนั้นปรับเป็นไฟกลาง แล้วทอดให้สีสวยเหมือนกันทุกด้านค่ะ ทอดแค่พอหมูสีสวยนะคะ ไม่ต้องให้น้ำแห้ง เหลือน้ำขลุกขลิกไว้ราดข้าวหน่อยจะอร่อยขึ้นค่ะ เสียดายวันนี้เราทอดซะแห้งไม่เหลือน้ำซอสไว้เลย

เสร็จแล้วก็ตักใส่จานเสิร์ฟ พร้อมผักแนมตามชอบเช่น มะเขือ เทศ แครอท คะน้าลวก ผักกาดขาว แตงกวา ต้นหอม เป็นต้นค่ะ หุงข้าวสวยร้อนๆ ไว้กินคู่กัน ง่ายๆ แค่นี้ก็อิ่มอร่อยรอดไปอีกมื้อแล้วค่ะ อาหารง่ายๆ แบบนี้แต่เป็นหนึ่งในจานโปรดของเรา ทำทีไรเจริญอาหารทุกทีซิน่า ใครหิวๆ อยู่ตอนนี้เชิญร่วมจกได้เลยนะคะ อิอิ

ซูเฟล่ชีสเค้กญี่ปุ่น : Japanese Soufflé Cheesecake


ซูเฟล่ชีสเค้กญี่ปุ่น สูตร 1 

เราเคยทำซูเฟล่มาหลายสูตรแล้ว แต่ส่วนตัวรู้สึกว่า 2 สูตรนี้รสชาติออกมาถูกปากถูกใจมากที่สุดค่ะ ทำก็ง่ายแสนง่ายใช้เวลาผสมแป๊บๆ ก็เสร็จแล้ว แต่ตอนอบนี่รอเงกเลยค่ะ แง่มๆ ถึงต้องรอนานยังไงผลงานหลังจากที่อบเสร็จแล้วก็คุ้มค่าแก่การรอคอยค่ะ อร่อยมากๆ เราเคยเผลอกินคนเดียวทั้งก้อนหมดในวันเดียวเลยด้วย พุงห้อยแล้วห้อยอีก ไม่เจียมตัวเลยจริงๆ  อ้อ.. ก่อนที่ใครจะตัดสินใจทำกระซิบบอกไว้ก่อนว่าสูตร 2 จะฟูกว่าสูตร 1 นิดหน่อยนะคะ แต่รสชาติอร่อยเหมือนๆ กัน


ส่วนผสมสูตร 1 สำหรับสปริงฟอร์มหรือพิมพ์กลมขนาด 18-20 ซม. 
  • ครีมชีส 120 กรัม
  • เนยสด 20 กรัม
  • นมสด 40 มล.
  • แป้งเค้ก 40 กรัม
  • น้ำตาลทรายป่น ก.50 กรัม
  • น้ำส้มคั้น 1/2 ชต.
  • ผิวส้มขูดฝอย 1/2 ชช.
  • เกลือ 1/4 ชช.
  • ไข่แดง 3 ฟอง
  • ไข่ขาว 3 ฟอง
  • น้ำมะนาว 1/2 ชช.
  • น้ำตาลทรายป่น ข. 20 กรัม
  • แยมแอพริคอท 1 ชต.
 วิธีทำ   ตัดกระดาษไขรองก้นและขอบ พิมพ์ด้านในให้ทั่วเพื่อกันเค้กติดพิมพ์ แล้วใช้กระดาษฟลอยด์หุ้มพิมพ์ให้ทั่วกันน้ำเข้าตอนอบด้วยค่ะ อุ่นเตาอบ ไว้ที่ 160 องศาเซลเซียส นำถาดอบหรือชามทนไฟขนาดใหญ่กว่าพิมพ์เค้กใส่น้ำประมาณ 500 มล. วางในเตาอบด้วยค่ะ

ละลายครีมชีส เนย และนมสดรวมกันในไมโครเวฟ คนให้เข้ากันดี พักไว้ให้อุ่นลงหน่อย เทแป้งใส่อ่างผสม ใส่น้ำตาล ก. ลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ทำบ่อตรงกลาง เทไข่แดง น้ำส้มคั้น ผิวส้มขูด เกลือ และส่วนผสมครีมชีสที่ละลายไว้แล้วลงไปในบ่อแป้ง คนเร็ว ๆ พอส่วนผสมเข้ากันก็หยุดค่ะ ห้ามคนนานนะคะ

ตีไข่ขาวพอเริ่มฟู ใส่น้ำมะนาว ตีจนเป็นโฟมแล้วค่อยๆ ใส่น้ำตาล ข. ทีละน้อย ตีจนน้ำตาลหมด ไข่ขาวตั้งยอดอ่อนและมีฟองที่ละเอียดมาก แบ่งไข่ขาวมาตะล่อมในส่วนผสมแป้ง แบ่งใส่สัก 2-3 ครั้ง ตะล่อมเบามือด้วยตะกร้อมือหรือพายยางให้ส่วนผสมเข้ากันดี เราใช้ตะกร้อมือผสมไข่ขาวกับส่วนผสมอื่นพอเริ่มเข้ากันก่อน แล้วจึงใช้พายยางตะล่อมวนส่วนผสมก้นอ่างให้เข้ากันดีอีกสัก 3-4 ครั้งค่ะ


เทส่วนผสมใส่พิมพ์ นำพิมพ์เข้าอบโดยวางในถาดใส่น้ำ หรือถ้ากลัวน้ำเข้าแล้วก้นเค้กจะแฉะก็วางพิมพ์บนตะแกรงแล้ววางถาดใส่น้ำไว้ บนพื้นเตาอบก็ได้ค่ะประมาณ 60 นาที โดยวางพิมพ์ไว้ชั้นที่สองจากล่างของเตา อบไฟล่างอย่างเดียว 40 นาที และอีก 20 นาทีสุดท้ายอบไฟบน-ล่างค่ะเช็คสุกโดยใช้ไม้ปลายแหลมทิ่มตรงกลาง ถ้าไม่มีเศษแป้งติดมาก็ใช้ได้ค่ะ


นำออกมาจากเตาอบแล้วเอาเค้กออกจากพิมพ์ ทันที เพราะถ้าปล่อยให้เย็นคาพิมพ์เค้กจะยุบลงเยอะเลยนะคะ วางเค้กไว้บนตะแกรงให้เย็นอุณภูมิห้องค่ะ จากนั้นนำแยมแอพริคอทผสมน้ำนิดหน่อยตั้งไฟอ่อน คนให้เนียน แล้วนำมาทาหน้าเค้กค่ะ จะได้ขึ้นเงาสวยงามน่ากิน ก่อนเอาเข้าตู้เย็นสัก 1 ชม. ก่อนตัดทาน แต่เราไม่เคยได้ใส่เลยค่ะ เย็นปุ๊บเจี๊ยะปั๊บตลอด อิอิ




ซูเฟล่ชีสเค้กญี่ปุ่น สูตร2
หรือใครจะลองสูตรนี้ก็ได้ค่ะ เค้กออกมานุ่มฟูอร่อยกินเพลินเหมือนกันเลย ดูเหมือนสูตรนี้จะฟูกว่าสูตรแรกหน่อยๆ ด้วยค่ะ เราค่อนข้างจะชอบสูตรนี้มากกว่าสูตรแรกนิดๆ ด้วย วิธีเตรียมส่วนผสม วิธีผสมและเวลาอบจะทำเหมือนสูตรแรกทุกประการนะคะ แต่สูตร 2 นี้ตีไข่ขาวกับเกลือและน้ำตาลทราย ข. ค่ะ



ส่วนผสมสูตร 2 สำหรับสปริงฟอร์มขนาด 18 ซม. 
  • ครีมชีส อุณหภูมิห้อง 90 กรัม
  • เนยนุ่มๆ 30 กรัม
  • นมสด 100 มล.
  • น้ำตาลทรายป่น (ก) 40 กรัม
  • ไข่แดง 3 ฟอง
  • น้ำมะนาว 1 ชต.
  • วานิลา 1/2 ชช.
  • แป้งเค้ก 30 กรัม
  • ไข่ขาว 3 ฟอง
  • น้ำตาลทรายป่น (ข) 30 กรัม
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • แยมแอพริคอท 1 ชต.
วิธีทำ  ตัดกระดาษไขรองก้นและขอบพิมพ์ด้านในให้ทั่วเพื่อกันเค้กติดพิมพ์ แล้วใช้กระดาษฟลอยด์หุ้มพิมพ์ให้ทั่วกันน้ำเข้าตอนอบด้วยค่ะ อุ่นเตาอบไว้ที่ 160 องศาเซลเซียส นำถาดอบหรือชามทนไฟขนาดใหญ่กว่าพิมพ์ใส่น้ำประมาณ 500 มล. วางในเตาอบด้วยค่ะ

ละลายครีมชีส เนย และนมสดรวมกันในไมโครเวฟ คนให้เข้ากันดี พักไว้ให้อุ่นลงหน่อย เทแป้งใส่อ่างผสม ใส่น้ำตาล ก. ลงไป ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน ทำบ่อตรงกลาง เทไข่แดง น้ำมะนาว วานิลา และส่วนผสมครีมชีสที่ละลายไว้แล้วลงไปในบ่อแป้ง คนเร็ว ๆ พอส่วนผสมเข้ากันก็หยุดค่ะ ห้ามคนนานนะคะ

ตีไข่ขาวกับเกลือพอเริ่มฟูแล้วค่อยๆ ใส่น้ำตาล ข. ทีละน้อย ตีจนน้ำตาลหมด ไข่ขาวตั้งยอดอ่อนและมีฟองที่ละเอียดมาก แบ่งไข่ขาวมาตะล่อมในส่วนผสมแป้ง แบ่งใส่สัก 2-3 ครั้ง ตะล่อมเบามือด้วยตะกร้อมือหรือพายยางให้ส่วนผสมเข้ากันดี

เทส่วนผสมใส่พิมพ์ นำพิมพ์เข้าอบโดยวางในถาดใส่น้ำ หรือถ้ากลัวน้ำเข้าแล้วก้นเค้กจะแฉะก็วางพิมพ์บนตะแกรงแล้ววางถาดใส่น้ำไว้บนพื้นเตาอบก็ได้ค่ะประมาณ 60 นาที โดยวางพิมพ์ไว้ชั้นที่สองจากล่างของเตา อบไฟล่างอย่างเดียว 40 นาที และอีก 20 นาทีสุดท้ายอบไฟบน-ล่างค่ะเช็คสุกโดยใช้ไม้ปลายแหลมทิ่มตรงกลาง ถ้าไม่มีเศษแป้งติดมาก็ใช้ได้ค่ะ

นำออกมาจากเตาอบ แล้วเอาเค้กออกจากพิมพ์ทันที เพราะถ้าปล่อยให้เย็นคาพิมพ์เค้กจะยุบลงเยอะเลยนะคะ วางเค้กไว้บนตะแกรงให้เย็นอุณภูมิห้องค่ะ จากนั้นนำแยมแอพริคอทผสมน้ำนิดหน่อยตั้งไฟอ่อน คนให้เนียน แล้วนำมาทาหน้าเค้กค่ะ จะได้ขึ้นเงาสวยงามน่ากิน ก่อนเอาเข้าตู้เย็นสัก 1-2 ชม. ก่อนตัดทานนะคะ


ของเราตัดหม่ำตอนที่ยังอุ่นๆ เลย เราว่ากินตอนอบเสร็จใหม่ๆ อร่อยกว่าแช่เย็นแล้ว ชอบไม่เหมือนใครค่ะ


อาทิตย์ที่ผ่านมาทำซูเฟล่กินเกือบทุกวันเลย ถ่ายรูปเก็บไว้เรื่อยๆ ทำกี่รอบๆ หน้าตาก็ไม่เหมือนกันสักครั้ง บางครั้งใส่พิมพ์กลม 18 ซม. บางครั้งก็ใส่พิมพ์กลม 20 ซม. บางครั้งก็ใส่พิมพ์รูปหัวใจ เค้กก็จะออกมาหนาบางแตกต่างกันไปตามรูปแบบและขนาดของพิมพ์ค่ะ แต่ที่ออกมาเหมือนกันทุกครั้งคือความอร่อย ปลื้มกับชีสเค้กนี้มาก เราสามารถกินคนเดียวได้ทั้งก้อนเลยก็เคยนะคะเนี่ย


รูปนี้ใส่พิมพ์กลม 20 ซม. จะออกมาไม่สูงเท่าใส่พิมพ์ 18 ซม.  ใส่พิมพ์ใหญ่กว่าสูตรแบบนี้เมื่ออบแล้วหน้าเค้กจะเรียบไม่นูนไม่แตกแน่นอนค่ะ


อันนี้ใส่พิมพ์วงแหวนเล็กๆ เป็นพิมพ์สแตนเลส เราไม่ได้กรุกระดาษไขอบแล้วเค้กก็ติดขอบบ้าง แต่ก็ดีกว่าขอบย่นเนอะ


ส่วนรูปนี้ใส่พิมพ์รูปหัวใจ ครั้งนี้เราแค่ตัดกระดาษไขรองฐานพิมพ์ ไม่ได้กรุข้างพิมพ์ด้วย อบเสร็จแล้วเค้กก็ร่อนออกจากขอบง่ายๆ โดยไม่ติดพิมพ์ (พิมพ์เทฟล่อน) ไม่ยับไม่ย่นเหมือนตอนที่กรุกระดาษไขด้วยแฮะ


อันใส่พิมพ์รูปหัวใจเหมือนกัน แต่กรุกระดาษไขด้านข้าง ไม่รู้ว่าคุณภาพกระดาษไขไม่ดีหรือยังไง อบเสร็จแล้วแกะกระดาษออกจากเค้กยากมากเพราะเค้กติดกระดาษา แถมแกะออกมาแล้วขอบยังยับๆ ย่นๆ ไม่น่าดูเลย ใครมีปัญหานี้ลองไม่กรุกระดาษไขด้านข้างพิมพ์ดูนะคะ ขอบเค้กอาจจะสวยกว่าเดิมก็ได้ ตอนนี้ขอตัวไปอบซูเฟล่กินเป็นก้อนสุดท้ายก่อนนะคะ พอดีมีครีมชีสเหลืออยู่อีกจิ๊ดนึง เจอกันบล็อกหน้าค่า